สถิติของโรคมะเร็งผิวหนังที่สูงขึ้นเรื่อยๆทำให้ผู้คนตระหนักถึงความอันตรายของแสงแดดถึงขั้นที่มีการตุนครีมกันแดดไว้หลากหลายกันเลยทีเดียว ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรที่ทุกคนจะทำเช่นนั้นเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้ผิวของคุณ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเลือกใช้ให้เหมาะสมไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อน ฤดูร้อนกว่า หรือฤดูร้อนที่สุดในบ้านเรา ไม่ว่าคุณจะกำลังนอนอาบแดดอยู่ที่ชายหาดหรือนั่งทำงานในออฟฟิศก็ตาม ควรเลือกใช้ให้เหมาะสม!
เมื่อพูดถึงครีมกันแดด หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับค่า SPF แต่ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบันได้นำไปสู่ระบบการวัดค่าแบบใหม่ๆเพิ่มขึ้นมา
รังสียูวีทำให้ผิวแก่ก่อนวัย การสัมผัสกับรังสียูวีสามารถนำไปสู่การทำลาย DNA ในเซลล์ผิวของคุณ และความเสียหายนี้สามารถนำไปสู่มะเร็งผิวหนังได้ แม้ว่าจะต้องใช้เวลานานพอประมาณในการตากแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทนหรือไหม้เกรียม แต่การได้รับรังสียูวีก็อาจทำลาย DNA ของร่างกายได้
- รังสี UVA: รังสีประเภทนี้จะแทรกซึมลึกเข้าไปในผิวหนัง และอาจทำให้ผิวหนังแก่ก่อนวัยและเกิดมะเร็งได้
- รังสี UVB: รังสีประเภทนี้มีส่วนทำให้สีผิวของคุณเปลี่ยนไปหลังจากใช้เวลากลางแจ้ง ผิวสีแทนหรือผิวไหม้เป็นผลโดยตรงจากอันนี้
- รังสี UVC: รังสีชนิดนี้ถูกชั้นบรรยากาศของโลกดูดซับไว้อย่างสมบูรณ์ และจะไม่ส่งถึงผิวหนังของคุณเพื่อสร้างความเสียหาย โชคดีที่นี่เป็นรังสี UV ประเภทหนึ่งที่คุณไม่ต้องกังวล
SPF หรือ Sun Protection Factor คือค่าที่บ่งบอกว่าผลิตภัณฑ์นี้มาสามารถปกป้องผิวจากอาการผิวไหม้ (burning) หรืออาการแดงจากรังสียูวีบี (UVB) ถ้าคิดเป็นผิวของเราสัมผัสกับแสงแดดเป็น 100%
- ครีมกันแดดที่มี SPF 15 จะสามารถปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ 93.33 %
- ครีมกันแดดที่มี SPF 30 สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้มากขึ้นเป็น 96.67% หรือประมาณ 97%
- ครีมกันแดด SPF 50 ที่เป็นที่นิยมนั้นสามารถปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ถึง 98%
จะเห็นได้ว่ายิ่ง SPF สูงขึ้นประสิทธิภาพการปกป้องผิวก็สูงขึ้นด้วย แต่ก็เป็นการเพิ่มขึ้นทีละน้อยเท่านั้น
…แล้วถ้า SPF สูงกว่า 50 ล่ะ ?
SPF 60 ก็สามารถปกป้องได้เพียง 98.33% จะเห็นได้กว่าต่อให้ SPF มากกว่า 50 แต่การปกป้องผิวไม่ต่างจากเดิมมากนัก และต่อให้ SPF 100 ก็ไม่สามารถปกป้องได้ถึง 100% ทางองค์การอาหารและยา (อย.) กำหนดให้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่ SPF มากกว่า 50 ใช้คำว่า SPF 50+ แทนโดยไม่สามารถกำหนดค่า SPF จริงได้เพราะไม่มีการยืนยันว่าสามารถป้องกันรังสี UVB ได้ดีมากกว่า ดังนั้นการใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50 ก็เพียงพอแล้ว
แล้ว PA ล่ะคืออะไร??
การวัดค่า PA ไม่มีมาตรฐานการวัดที่เป็นกลางสำหรับใช้ทั่วโลก เป็นเพียงการวัดตามมาตรฐานของแต่ละประเทศเท่านั้น โดยสัญลักษณ์ PA ตามด้วยเครื่องหมายบวก (+) เป็นการอ่านค่าการป้องกันรังสียูวีเอ (UVA) จากประเทศญี่ปุ่น PA หรือ Protection Grade of UVA เป็นการวัดค่าการป้องกันรังสี UVA จากอาการคล้ำหรือเรียกว่า PPD (Persistent Pigment Darkening) ที่เป็นการอ่านแบบยุโรป
- PA+ หมายถึง สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ระดับต่ำ หรือป้องกันผิวคล้ำจากรังสี UVA ได้ 2-4 เท่า (PPD = 2-4)
- PA++ หมายถึง ป้องกันรังสี UVA ได้ระดับปานกลาง หรือป้องกันผิวคล้ำจากรังสี UVA ได้ 6-8 เท่า (PPD = 6-8)
- PA+++ หมายถึง ป้องกันรังสี UVA ได้ระดับสูง หรือป้องกันผิวคล้ำจากรังสี UVA ได้ 8-16 เท่า (PPD = 8-16)
- PA++++ หมายถึง ป้องกันรังสี UVA ได้ระดับสูงมากหรือป้องกันผิวคล้ำจากรังสี UVA ได้มากกว่า 16 เท่า (PPD >16)
การเลือกครีมกันแดดที่สำคัญที่สุดคือ ไม่จำเป็นต้องเลือก SPF หรือ PA ที่สูงที่สุดเสมอไป เพราะนั่นหมายถึงการใช้สารกันแดดในผลิตภัณฑ์มากเกินไป และจะทำให้มีโอกาสให้ผิวเกิดการระคายเคืองมากขึ้นตามไปด้วย แต่ควรเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับกิจวัตรประจำวันและสภาพอากาศที่เหมาะสมมากกว่า หรือถ้าใครต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานานๆ ควรใช้วิธีทาซ้ำระหว่างวันจะดีกว่า สำหรับสาวๆ คนไทยเลือก SPF 50 และ PA+++ ก็เพียงพอแล้ว
สรุปก็คือเลือกครีมกันแดดให้ปกป้องผิวของคุณจากทั้งรังสี UVA และ UVB ได้ตลอดเวลาที่คุณตาดแดดนั่นเอง
Image by <a href=”https://www.freepik.com/free-photo/woman-enjoying-their-sunny-holiday_22894290.htm#query=sun%20screen&position=12&from_view=search&track=ais”>Freepik</a>